บล.เคจีไอ รุกธุรกิจ “DR” ทางเลือกใหม่ ลงทุนต่างประเทศ

นายเจนวิทย์ ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทออกDepositary ReceiptหรือDR” มาพร้อมกันถึง3หลักทรัพย์ เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจ DW และเพิ่มทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศให้กับนักลงทุนไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาจากที่เป็นขาขึ้นในปี2023เป็นแนวโน้มคงที่หรือปรับตัวลง ทำให้มีโอกาสที่จะมีการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนทั่วโลกในตลาดหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น

และในปี2023ที่ผ่านมา เราเห็นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนตัวแยกกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ดัชนี Nikkei225 +30%ขณะที่ดัชนี Hang Seng Index -18%,ดัชนีHang Seng TECH Index ลง 15% ดังนั้นความต้องการการลงทุนของนักลงทุนในปีนี้จึงแบ่งเป็น2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ยังสนใจตลาดหุ้นที่ร้อนแรงในปี 2023 คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับอีกกลุ่มที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนหลังราคาหุ้นปรับลงมาแรงต่อเนื่อง3ปี จึงเป็นที่มาของการเลือกออก DRทั้ง 3ตัว ได้แก่ JAPAN13, HK13และ HKTECH13ที่ลงทุนในกอง ETFตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นฮ่องกง การรุกธุรกิจ DRที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจฮ่องกงและจีนและตลาดหุ้นญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการออก DWในประเทศไทย จึงเป็นกลยุทธ์หลักในปีนี้

DRเป็นตราสารการเงินที่เป็นตัวกลางการลงทุนให้นักลงทุนสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ผ่านการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)จากที่ปกติการลงทุนในต่างประเทศโดยตรงจะทำได้ยากต้องเปิดบัญชีหุ้นที่ต่างประเทศ และต้องเสียภาษีบนกำไรที่นำกลับเข้ามาด้วย ทั้งนี้DRมีราคาBid-Offerที่อ้างอิงกับราคาหุ้นต่างประเทศที่แปลงมาเป็นสกุลเงินไทยบาท นักลงทุนจึงใช้บัญชีซื้อขายหุ้นปกติลงทุนในDRได้เลย โดยDRไม่มีวันหมดอายุ จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว แตกต่างจากDWที่มีอายุจำกัด และอัตราทดสูง จึงเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นมากกว่าคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

สำหรับ DR”ทั้งสามตัวที่ออกมาล่าสุดประกอบด้วยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

  1. “JAPAN13”ลงทุนในกองทุน ETF ChinaAMC MSCI Japan Hedged to USD ETF (3160 HK) โดยมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่นมากกว่า200 ตัว เช่นTOYOTA, SONY Group และMitsubishi UFJ Financial Group เป็นต้น โดยในปี2023 ราคากองทุนETFนี้ปรับตัวขึ้นถึง 32.7% และมีค่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงกว่า1.1 หมื่นล้านบาท
  2. “HK13”ลงทุนในกองทุน ETF Tracker Fund of Hong Kong (2800 HK)จะมีราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนีHang Sengซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นประมาณ 80บริษัทที่มีการทำธุรกิจในประเทศจีนและฮ่องกง เช่นHSBC Holding, TENCENT, AIA Group, ALIBABAและCHINA Mobileเป็นต้น กองทุนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 5แสนล้านบาท
  3. “HKTECH13”ลงทุนในกองทุน Heng Seng TECH Index ETF (3032 HK)ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ครอบคลุมหุ้น 30ตัว เช่น XIAOMI, TENCENT, NETEASE, ALIBABAและ SMICโดยกองทุนนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม https://www.thaiwarrant.com/

You May Also Like

More From Author